EVA : ด้าน Controlling ประกอบด้วย
1. ประวัติความเป็นมา
เป็นเครื่องมือวัดผลการดำเนินงานของธุรกิจในเชิงเศรษฐศาสตร์พัฒนาขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ1980 โดยบริษัทที่ปรึกษาอเมริกัน Stern
Stewart Consulting Group เป็นการให้ความสำคัญมูลค่าเชิงเศรษฐศาสตร์และการสร้างมูลค่าเพิ่มของธุรกิจ
2. EVA คืออะไร
EVA เป็นเครื่องมือวัดผลการดำเนินงานของธุรกิจ
เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกำไรที่แท้จริงของกิจการ โดยหัก
ต้นทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น หรือส่วนของเจ้าของ(Cost of Equity) ที่เราเรียกกันว่าต้นทุนค่าเสียโอกาส(Opportunity Cost) ของกิจการออกไปด้วย นอกเหนือจากการหักต้นทุนในส่วนของหนี้สิน (Cost of debt) ไปแล้ว ผลกำไรที่แท้จริงตัวนี้จะแสดงให้เห็นว่า ผลการดำเนินงานของธุรกิจนั้น ๆ มีทิศทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ (Creating value of the firm) หรือกำลังทำให้มูลค่าของธุรกิจลดน้อยลง(Destroying value of the firm)
หาก EVA ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าการบริหารงานของธุรกิจนั้นประสบความสำเร็จ และสร้างความมั่งคั่งให้กับผูถือหุ้น (Shareholders’ wealth) ทำให้ผู้ถือหุ้นเกิดความพอใจ นอกจาก EVAจะเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการบริหารงานแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างระบบผลตอบแทนที่จูงใจ ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้บริหารตัดสินใจบริหารจัดการเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจ และสร้างความมั่งคั่งสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น (Maximize shareholders’ wealth) ทั้งบริษัทเอกชน และหน่วยงานของรัฐฯ
ในทางบัญชีเราบันทึกบัญชีโดยใช้เกณฑ์คงค้างเป็นหลัก ไม่ได้ใช้หลักเงินสด ทำให้กำไรที่เกิดขึ้นไม่สามารถวัดมูลค่าในอนาคตได้ (หากมีข้อแตกต่างระหว่างกำไรจากเกณฑ์คงค้างกับกำไรจากเกณฑ์ เงินสดมาก จะทำให้กำไรไม่มีคุณภาพ) สิ่งที่จะสะท้อนภาพผลการดำเนินงานของกิจการได้ ควรจะเป็นกระแสเงินสดที่แท้จริงของกิจการ
ต้นทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น หรือส่วนของเจ้าของ(Cost of Equity) ที่เราเรียกกันว่าต้นทุนค่าเสียโอกาส(Opportunity Cost) ของกิจการออกไปด้วย นอกเหนือจากการหักต้นทุนในส่วนของหนี้สิน (Cost of debt) ไปแล้ว ผลกำไรที่แท้จริงตัวนี้จะแสดงให้เห็นว่า ผลการดำเนินงานของธุรกิจนั้น ๆ มีทิศทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ (Creating value of the firm) หรือกำลังทำให้มูลค่าของธุรกิจลดน้อยลง(Destroying value of the firm)
หาก EVA ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าการบริหารงานของธุรกิจนั้นประสบความสำเร็จ และสร้างความมั่งคั่งให้กับผูถือหุ้น (Shareholders’ wealth) ทำให้ผู้ถือหุ้นเกิดความพอใจ นอกจาก EVAจะเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการบริหารงานแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างระบบผลตอบแทนที่จูงใจ ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้บริหารตัดสินใจบริหารจัดการเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจ และสร้างความมั่งคั่งสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น (Maximize shareholders’ wealth) ทั้งบริษัทเอกชน และหน่วยงานของรัฐฯ
ในทางบัญชีเราบันทึกบัญชีโดยใช้เกณฑ์คงค้างเป็นหลัก ไม่ได้ใช้หลักเงินสด ทำให้กำไรที่เกิดขึ้นไม่สามารถวัดมูลค่าในอนาคตได้ (หากมีข้อแตกต่างระหว่างกำไรจากเกณฑ์คงค้างกับกำไรจากเกณฑ์ เงินสดมาก จะทำให้กำไรไม่มีคุณภาพ) สิ่งที่จะสะท้อนภาพผลการดำเนินงานของกิจการได้ ควรจะเป็นกระแสเงินสดที่แท้จริงของกิจการ
3. EVA ใช้เพื่ออะไร
1.
ใช้เป็นตัววัดทางด้านการเงินของผลตอบแทน
อยู่บนพื้นฐานความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น
2.
ใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดผลการดำเนินงาน
3.
ใช้กำหนดแผนการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้บริหาร
4.
เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงขององค์กร
4. ข้อดี
1. เป็นตัววัดทางด้านการเงินของผลตอบแทน
อยู่บนพื้นฐานความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น,
2. ใช้กำหนดแผนการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้บริหาร ,
3. ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงขององค์กร
4. ใช้ในการพัฒนาแนวทางวัดผลการดำเนินงาน ให้สอดคล้องกับแนวคิดใหม่ทางด้านการบริหารที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจกลับไปยังผู้ถือหุ้น
3. ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงขององค์กร
4. ใช้ในการพัฒนาแนวทางวัดผลการดำเนินงาน ให้สอดคล้องกับแนวคิดใหม่ทางด้านการบริหารที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจกลับไปยังผู้ถือหุ้น
5. ขั้นตอนของการคำนวณ EVA
EVA ให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างมูลค่าเพิ่ม การสร้างมูลค่าเพิ่ม
หมายถึง การนำทรัพยากรไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าได้สูงสุด
หากไม่มุ่งมั่นกับการสร้างมูลค่าเพิ่มแล้ว
การใช้ทรัพยากรขององค์กรจะเป็นไปอย่างสิ้นเปลือง
และสังคมโดยรวมสูญเสียมูลค่าทางโอกาสในการสร้างคุณค่าจากการใช้ทรัพยากรเหล่านั้น
สูตรการคำนวณ EVA
EVA = NOPAT - (WACC x INVESTED CAPITAL)
ส่วนประกอบหลักๆ ในการคำนวณ EVA จะมีในงบกำไรขาดทุนและงบดุลของทุกบริษัทอยู่แล้วคือ
1. กำไรหลังหักภาษี (Net Operating Profit After Tax: NOPAT) ซึ่งคำนวณจากรายได้ลบด้วยค่าใช้จ่ายทางด้านปฏิบัติการและภาษี
2. เงินลงทุน (Capital) ซึ่งประกอบด้วยเงินลงทุนหมุนเวียน เงินลงทุนถาวร และส่วนของสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดรายได้
3. ต้นทุนของเงินลงทุน (Capital Charge) คือผลตอบแทนที่ทั้งผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้ต้องการ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นต่อเงินลงทุน หากจะต้องไปกู้ยืมเงินมาลงทุนทั้งหมด ดอกเบี้ยของเงินทุนก็คือต้นทุนของเงินลงทุน
EVA = NOPAT - (WACC x INVESTED CAPITAL)
ส่วนประกอบหลักๆ ในการคำนวณ EVA จะมีในงบกำไรขาดทุนและงบดุลของทุกบริษัทอยู่แล้วคือ
1. กำไรหลังหักภาษี (Net Operating Profit After Tax: NOPAT) ซึ่งคำนวณจากรายได้ลบด้วยค่าใช้จ่ายทางด้านปฏิบัติการและภาษี
2. เงินลงทุน (Capital) ซึ่งประกอบด้วยเงินลงทุนหมุนเวียน เงินลงทุนถาวร และส่วนของสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดรายได้
3. ต้นทุนของเงินลงทุน (Capital Charge) คือผลตอบแทนที่ทั้งผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้ต้องการ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นต่อเงินลงทุน หากจะต้องไปกู้ยืมเงินมาลงทุนทั้งหมด ดอกเบี้ยของเงินทุนก็คือต้นทุนของเงินลงทุน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น